ranchoel60.com
ตรวจการได้ยิน (audiogram) 2. ตรวจการทำงานของอวัยวะทรงตัวของหูชั้นใน (Video electronystagmography:VNG) 3. ตรวจวัดแรงดันของน้ำในหูชั้นใน (electrocochleography: ECOG) 4. ตรวจการทำงานของเส้นประสาทการได้ยิน (Evoked response audiometry) 5. ตรวจเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง (CT scan) 6. ตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสมองและเส้นเลือดสมอง (MRI brain and MRA) หลักการให้ยารักษาอาการเวียนหัวบ้านหมุน 1. ระยะเฉียบพลันของโรค ที่เกิดจากรอยโรคในระบบประสาท vestibular ส่วนปลายในระยะไม่เกิน 3 วันแรกของอาการเวียนศีรษะหมุน โดยอาจให้ตามเวลาทุก 8 ชม. เมื่อถึงระยะฟื้นตัวเกิดกลไกการปรับสภาวะ ปรับลดโดยให้เฉพาะเมื่อมีอาการเท่านั้นและนานไม่เกิน 2-3 สัปดาห์เป็นอย่างช้า 2. อาการเวียนศีรษะหมุนเฉียบพลัน จากรอยโรคในระบบประสาท vestibular ส่วนกลาง โดยเฉพาะที่มีอาการรุนแรง คลื่นไส้อาเจียนมาก 3. ในโรคที่มีพยาธิสภาพอยู่ในระบบประสาท vestibular ส่วนปลาย แต่การดําเนินโรค มีลักษณะเป็นๆ หายๆ หรือเป็นโรคที่ไม่หายขาด โดยเฉพาะ Ménière&'s disease อาจต้องให้ยารักษาเฉพาะโรคติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน 6 – 12 เดือน และในปริมาณสูง (13) ร่วมกับยารักษาอาการเวียนศีรษะหมุนเมื่อมีอาการเฉียบพลัน 4.
พบแพทย์ | ข้อมูลสุขภาพที่ครบถ้วนและเชื่อถือได้ ถามแพทย์ Jan 26, 2017 at 08:16 PM ผมมีอาการวิงเวียนบ้านหมุนเวลานอนตะแครง บางทีมีคลื่นไส้ เป็นมา 13 วันแล้ว นอน รพ.
เวียนหัวบ้านหมุน (vertigo) นั้นไม่ใช่ "โรค" แต่เป็น "กลุ่มอาการ" มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของอวัยวะการทรงตัวในหูชั้นใน ซึ่งเป็นส่วนที่ทำหน้าที่คอยรับการทรงตัวสมดุลของร่างกายในท่าทางต่างๆ เมื่อเกิดความผิดปกติขึ้นจึงทำให้มีอาการเวียนศีรษะแบบรู้สึกหมุน ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าสิ่งรอบตัวหมุนไปหรือตัวเองหมุนอยู่ หรือรู้สึกโคลงเคลงทั้งๆ ที่ตัวเองอยู่กับที่หรือไม่มีการเคลื่อนไหว ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มีความรู้สึกเหมือนจะเป็นลม หูอื้อ การได้ยินลดลง หรือมีเสียงในหูร่วมด้วยได้ เหล่านี้สื่อว่าอาการเริ่มีความรุนแรง อาการบ้านหมุนนี้ เป็นสัญญาณของ 2 โรคสำคัญ 1. โรคหินปูนในหูชั้นในเคลื่อน หรือ โรคเวียนศีรษะขณะเปลี่ยนท่า อาการ รู้สึกเวียนหัวทันทีเมื่อเคลื่อนไหว และเวียนลดลงเมื่ออยู่นีง เวียนไม่นาน 1 – 5 นาที ดวงตาดำสองข้างกระตุก ไปในทิศทางเดียวกัน ส่งผลทำให้เห็นภาพสั่นซึ่งเป็นที่มาของบ้านหมุน การได้ยินเป็นปกติ ไม่มีหูอื้อ หรือเสียงดังในหู 2. โรคน้ำในหูชั้นในผิดปกติหรือโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน (Meniere's disease) เวียนหัวบ้านหมุนตลอดเวลา ตั้งแต่ 20 นาที – หลายชั่วโมง อาการเวียนหัวจะเป็นหนักมาก คือเวียนหัวทั้งวัน ผู้ป่วยมักนอนนิ่ง ไม่ขยับตัว มีอาการหูอื้อ หรือได้ยินน้อยลง ได้ยินเสียงดังในหู เช่น เสียงหึ่งๆ วิ้งๆ แต่ไม่ใช่เสียงจังหวะการเต้นของหัวใจ การตรวจวินิจฉัยอาการเวียนหัวบ้านหมุน 1.
อย่าอดนอน พักผ่อนให้เพียงพอ ข. ออกกําลังกายสม่ําเสมอ ค. อยู่ในที่อากาศถ่ายเท ง. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยง CATS: Caffeine-AlcoholTobacco-Salt, และผงชูรส (MSG) จ. ระงับอารมณ์ ผ่อนคลายจากความเครียด-Stress 5. การป้องกันปัจจัยเสี่ยงอื่น ได้แก่ ป้องกันอุบัติเหตุ เช่น สวมหมวกกันน็อกขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ ฯลฯ ป้องกันและหลีกเลี่ยงภาวะติดเชื้อ ไข้หวัด ไวรัสชนิดต่างๆ, สวมเครื่องป้องกันเสียงดังเกินหรือหลีกเลี่ยงการเที่ยวสถานที่ที่มีเสียงดังเกิน, ควรสวมอุปกรณ์ความปลอดภัยขณะทํางานในที่เสี่ยง-ที่สูง เครื่องมืออันตราย, หลีกเลี่ยงหรือระมัดระวังการใช้ยาหรือสารที่มีพิษต่อหูชั้นใน รวมทั้งแอลกอฮอล์ Photo: Pixabay ข้อมูล/ภาพจาก
– การทำกายภาพบำบัด ด้วยวิธีการ Canalith Repositioning Maneuvers โดยการขยับศีรษะและคอช้า ๆ เพื่อช่วยเคลื่อนตะกอนหินปูนเคลื่อนกลับเข้าที่เดิม วิธีนี้เป็นวิธีที่ค่อนข้างปลอดภัย และได้ผลดี เหมาะ สาหรับโรคที่พบบ่อยอย่างโรคตะกอนหินปูนในหูชั้นในหลุด (Benign Paroxysmal Positional Vertigo: BPPV) – การเรียนพิลาทิสเพื่อช่วยกระตุ้นระบบการทรงตัว ใช้กล้ามเนื้ออย่างถูกมัด เนื่องจากพิลาทิสสามารถออกกำลังกายได้หลากหลายท่าทาง และมีอุปกรณ์ที่ช่วยให้การออกกำลังกายสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงสามารถหลีกเลี่ยงท่าทางการเคลื่อนไหวที่กระตุ้นอาการบ้านหมุนได้ บ้านหมุนอันตรายยังไง? ภาวะแทรกซ้อนของอาการบ้านหมุน โดยทั่วไปอาการบ้านหมุนแทบไม่พบภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง แต่มักจะเสี่ยงต่อการลื่นล้มมากที่สุด โดยเฉพาะ ในผู้สูงอายุ เนื่องจากไม่สามารถควบคุมการทรงตัวของตนเองได้ จึงอาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บที่ร้ายแรงตามมา จากการหกล้มหรืออุบัติเหตุ เช่น กระดูกสะโพกหัก อุบัติเหตุจากการขับรถหรือทางานในสภาวะอันตราย อีก ทั้งยังรบกวนการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้ หากคุณมีกำลังทรมานกับอาการบ้านหมุนและต้องการที่จะปรึกษานักกายภาพบำบัด เพื่อตรวจประเมินและวางแผนการรักษาที่เหมาะกับตัวคุณ ติดต่อเราได้ที่นี่ ข้อมูลเพิ่มเติมคลิก
เมื่อทำตามวิธีการดูแลด้วยตนเอง ข้างต้นแล้วผ่านไปอย่างน้อย 8-2 ชั่วโมงไม่ดีขึ้น หรืออาการแย่ลง ควรรีบไปพบแพทย์ 2 มีอาการอาเจียนมาก กินยา และดื่มน้ำไม่ได้เลย หรือกินยาแล้วมีอาเจียนทุกครั้ง ร่างกายจะขาดน้ำ เกลือแร่ และยา อย่าฝืนทน ควรไปพบแพทย์เพื่อฉีดยา และบางรายอาจจะต้องให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด ในรายที่เป็นมากจริงๆ อาจจะต้องพักในโรงพยาบาล แต่มีเป็นส่วนน้อย 3. เมื่ออาการดีขึ้น แต่ไม่ยอมหายเป็นปกติเสียที ควรไปพบแพทย์เช่นกัน เพราะอาจจะมีสาเหตุบางอย่างซ่อนอยู่ ที่อาจจะจำเป็นต้องได้รับการค้นหาและรักษาที่ต้นเหตุ 4. เป็นบ่อยๆ มากๆ จนรบกวนชีวิตประจำวันค่อนข้างมาก ก็ต้องหาสาเหตุเช่นกัน หรือในรายที่ไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริงได้ การกินยาป้องกันไว้ก็อาจจะเป็นทางเลือกหนึ่ง